จักรวรรดิฝรั่งเศสที่หนึ่ง มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐฝรั่งเศส ต่อจากนั้นเป็นจักรวรรดิฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส: Empire Français; ละติน: Imperium Francicum) ภายหลัง ค.ศ. 1809 และยังเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า ฝรั่งเศสสมัยนโปเลียน เป็นจักรวรรดิที่ถูกปกครองโดยจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ผู้ซึ่งสถาปนาอำนาจของฝรั่งเศสเหนือยุโรปภาคพื้นทวีป เมื่อตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ดำรงอยู่ตั้งแต่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1804 ถึง 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1814 และดำรงอยู่อีกครั้งในช่วงเวลาสั้น ๆ ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1815 ถึง 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1815
ถึงแม้ว่าฝรั่งเศสจะก่อตั้งจักรวรรดิอาณานิคมโพ้นทะเลมาตั้งแต่ตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 แต่รัฐฝรั่งเศสยังคงเป็นราชอาณาจักรที่ถูกปกครองโดยราชวงศ์บูร์บง และเป็นสาธารณรัฐหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส นักประวัติศาสตร์ได้กล่าวถึงระบอบของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ว่าเป็น จักรวรรดิที่หนึ่ง เพื่อแยกความแตกต่างออกจากจักรวรรดิที่สอง ของนักฟื้นฟู (ค.ศ. 1852-1870) ที่ถูกปกครองโดยจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ซึ่งเป็นพระราชนัดดาของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 จักรวรรดิฝรั่งเศสที่หนึ่งได้ถูกมองโดยบางคนว่าเป็น "จักรวรรดิริพับลิกัน"
เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1804 นโปเลียนได้รับตำแหน่งจักรพรรดิแห่งชาวฝรั่งเศส(Empereur des Français, ออกเสียง: [ɑ̃.pʁœʁ de fʁɑ̃.sɛ]) โดยวุฒิสภาอนุรักษนิยม (Sénat conservateur) ของฝรั่งเศส และสวมมงกุฎ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1804 เป็นการแสดงให้เห็นถึงจุดสิ้นสุดของคณะกงสุลฝรั่งเศสและสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 1 แม้ว่าจะมีการทำพิธีปราบดาภิเษก แต่รัฐยังคงถูกเรียกอย่างเป็นทางการว่า "สาธารณรัฐฝรั่งเศส" จนถึงเดือนตุลาคม ค.ศ. 1808 จักรวรรดิได้มีอำนาจสูงสุดทางทหารในยุโรปแผ่นดินใหญ่ด้วยชัยชนะที่โด่งดังในสงครามสหสัมพันธมิตรครั้งที่สาม กับออสเตรีย ปรัสเซีย รัสเซีย อังกฤษ และรัฐพันธมิตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุทธการที่เอาสเทอร์ลิทซ์ ใน ค.ศ. 1805 การครอบงำของฝรั่งเศสได้ถูกยืนยันอีกครั้งในช่วงสงครามสหสัมพันธมิตรครั้งที่สี่ ในยุทธการที่เยนา–เอาเออร์ชเต็ท ใน ค.ศ. 1806 และยุทธการที่ฟรีทลันท์ ใน ค.ศ. 1807 ก่อนที่ความปราชัยครั้งสุดท้ายของนโปเลียนในยุทธการที่วอเตอร์ลู ใน ค.ศ. 1815
สงครามหลายครั้ง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันโดยรวมว่า สงครามนโปเลียน ได้ขยายอิทธิพลของฝรั่งเศสจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของยุโรปตะวันตกและไปยังโปแลนด์ เมื่อถึงจุดสูงสุดใน ค.ศ. 1812 จักรวรรดิฝรั่งเศสได้มี 130 จังหวัด ประชากรมากกว่า 44 ล้านคน ปกครองพลเมืองมากกว่า 90 ล้านคน ทั่วทั้งยุโรปและอาณานิคมโพ้นทะเล การคงไว้ซึ่งการมีอยู่ทางทหารอย่างกว้างขวางในเยอรมนี อิตาลี สเปน และโปแลนด์ และนับออสเตรียและปรัสเซียเป็นพันธมิตรในนาม ชัยชนะของฝรั่งเศสในช่วงแรกได้ส่งลักษณะทางอุดมการณ์ของการปฏิวัติหลายประการไปทั่วทั้งยุโรป การนำประมวลกฎหมายนโปเลียนมาใช้ทั่วทั้งทวีป ได้เพิ่มความเท่าเทียมทางกฎหมาย ระบบลูกขุนที่ได้ถูกจัดตั้งขึ้นและการหย่าร้างที่ถูกกฎหมาย และค่าธรรมเนียมที่ดินศักดินาและระบบความยุติธรรมของขุนนางศักดินาได้ถูกยกเลิก เช่นเดียวกับอภิสิทธิ์ของชนชั้นสูงในทุกที่ยกเว้นโปแลนด์ ความปราชัยของฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1814 (และอีกครั้งใน ค.ศ. 1815) ถือเป็นจุดสิ้นสุดของจักรวรรดิฝรั่งเศสที่หนึ่ง และจุดเริ่มต้นของยุคการฟื้นฟูราชวงศ์บูร์บง
ในปี ค.ศ. 1804 นโปเลียน โบนาปาร์ต หนึ่งในสามผู้นำของคณะกงสุลฝรั่งเศส ได้ปราบดาภิเษกตนเองเป็นจักรพรรดิและเริ่มต้นจักรวรรดิฝรั่งเศสที่หนึ่ง จักรพรรดินโปเลียนทรงปรับปรุงกองทัพฝรั่งเศสเป็น "กองทัพใหญ่" (Grand Armée) ในปี ค.ศ. 1805 การประกาศฝรั่งเศสเป็นจักรวรรดิทำให้ชาติต่างๆ รวมตัวกันอีกครั้งเป็นสัมพันธมิตรครั้งที่สาม จักรพรรดินโปเลียนที่ 1นำทัพบุกเยอรมนี และชนะกองทัพออสเตรียในการทัพอุล์ม แต่ทางทะเลต้องพ่ายแพ้อังกฤษที่แหลมทราฟัลการ์ในยุทธนาวีที่ทราฟัลการ์ ชัยชนะที่อุล์มทำให้จักรพรรดินโปเลียนทรงรุกคืบเข้าไปในออสเตรีย และชนะออสเตรียกับรัสเซียที่เอาสเทอร์ลิทซ์ เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจักรพรรดินโปเลียน ทำให้สัมพันธมิตรครั้งที่สาม สลายตัวด้วยสนธิสัญญาเพร็สบวร์ค (Treaty of Pressburg) ผลของสนธิสัญญาคือจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ต้องล่มสลายไป พระเจ้านโปเลียนตั้งสมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์ (Confederation of the Rhine) ขึ้นมาแทนที่ ยังผลให้จักรพรรดิแห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ต้องเปลี่ยนพระอิสริยยศเป็นจักรพรรดิแห่งออสเตรีย ซึ่งในช่วงต้นของสงครามกับนานาประเทศ ฝรั่งเศสบุกชนะในหลายประเทศอาทิเช่น ออสเตรีย ปรัสเซีย โปรตุเกส และชาติพันธมิตรชาติอื่น ๆ อีกทั้งยังยึดครองดินแดนในทวีปยุโรปไว้ได้มากมาย
ความสำเร็จของนโปเลียนในเยอรมนี ทำให้ปรัสเซียร่วมกับอังกฤษและรัสเซียตั้งสัมพันธมิตรครั้งที่สี่ แต่คราวนี้ฝรั่งเศสมีรัฐบริวารมากมายให้การสนับสนุน จักรพรรดินโปเลียนจึงนำทัพบุกปรัสเซียชนะที่เยนา-เอาเออร์ชเตดท์ และชนะรัสเซียที่ฟรีดแลนด์ ทำให้เกิดสนธิสัญญาทิลซิท (Treaty of Tilsit) ที่ยุติสองปีแห่งการนองเลือดของทวีปยุโรปลงในปี ค.ศ. 1807 จากสนธิสัญญานี้ทำให้ปรัสเซียสูญเสียดินแดนขนาดใหญ่ กลายเป็นแกรนด์ดัชชีวอร์ซอ (Grand Duchy of Warsaw) และซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 ร่วมเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสและเข้าระบบภาคพื้นทวีป (Continental system) เพื่อตัดขาดอังกฤษทางการค้าจากผืนทวีปยุโรป แต่สองประเทศ คือสวีเดนและโปรตุเกส เป็นกลางและไม่ยอมเข้าร่วมระบบภาคพื้นทวีป จักรพรรดินโปเลียนบุกโปรตุเกสในปี ค.ศ. 1807 และก็ทรงฉวยโอกาสยึดสเปนมาจากพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 4 (ราชวงศ์บูร์บง) มาให้พระอนุชาคือ โฌแซ็ฟ โบนาปาร์ต เป็นกษัตริย์แห่งสเปน โปรตุเกสตกเป็นอาณัติของฝรั่งเศส แต่ชาวสเปนและชาวโปรตุเกสไม่ยินยอม จึงทำสงครามคาบสมุทร ต่อต้านจักรพรรดินโปเลียน โดยใช้การสงครามกองโจร ทางสหราชอาณาจักรส่งดยุกแห่งเวลลิงตัน มาช่วยสเปนและโปรตุเกส ในปี ค.ศ. 1809 ออสเตรียก็ตัดสินใจทำสงครามอีกครั้ง เป็นสัมพันธมิตรครั้งที่ห้า นโปเลียนนำทัพบุกทันที ชนะออสเตรียที่แอสเปิร์น-เอสลิง และวากราม จนทำเกิดสนธิสัญญาเชินบรุนน์ (Treaty of Schönbrunn) ทำให้ออสเตรียเสียดินแดนเพิ่มเติมให้แก่ฝรั่งเศส และจักรพรรดินโปเลียนอภิเษกกับอาร์คดัชเชสมารี หลุยส์แห่งออสเตรีย
ต่อมาจักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 1 แห่งรัสเซีย ทรงทำสงครามกับจักรพรรดินโปเลียนอีกครั้ง ในปี ค.ศ. 1812 นโปเลียนจึงได้นำกองทัพฝรั่งเศสเข้าทำสงครามอีกครั้งโดยครั้งนี้พระองค์ต้องการจะบุกไปรุกรานจักรวรรดิรัสเซีย ที่หลอกล่อให้กองทัพฝรั่งเศสเข้าไปอดอาหารและหนาวตายในรัสเซีย ซึ่งมีระยะทางยาวไกลจากกรุงปารีสมาก โดยใช้เวลานานหลายเดือนกว่าจะบุกตีหัวเมืองต่าง ๆ ของรัสเซียไปจนถึงกรุงมอสโก แต่เมื่อไปถึงยังกรุงมอสโกก็ต้องพบกลับความว่างเปล่าของเมืองที่ชาวเมืองพร้อมใจกันเผาเมืองเพื่อมิให้เสบียงตกถึงมือกองทัพฝรั่งเศสและอพยพถอยร่นไปทางตะวันออก ทำให้การบุกรัสเซียเป็นความพ่ายแพ้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจักรพรรดินโปเลียน ชัยชนะของรัสเซียปลุกระดมชาติต่างๆให้รวมตัวกันเป็นสัมพันธมิตรครั้งที่หก เอาชนะนโปเลียนในยุทธการที่ไลพ์ซิก (Battle of Leipzig) ทำให้ในปี ค.ศ. 1813 นโปเลียนจำใจต้องยกทัพกลับฝรั่งเศสแม้เสบียงจะเหลือไม่มากแล้ว กองทัพเองก็เหนื่อยล้าจากการเดินทางอันยาวไกล นอกจากนี้ฤดูหนาวอันโหดร้ายของรัสเซียก็คืบคลานเข้ามาทุกขณะ โดยในระหว่างทางถอยทัพกลับฝรั่งเศสก็ยังถูกกองทัพของรัสเซียและชาติสัมพันธมิตรซุ่มโจมตีในลักษณะกองโจร ซึ่งเมื่อถอยทัพกลับถึงกรุงปารีสก็เหลือพลทหารไม่กี่พันคนจากที่ยกทัพไปมากกว่า 600,000 คน ทั้งนี้เป็นผลมากจากฤดูหนาวที่โหดร้ายทารุณทำให้ทหารแข็งตาย การขาดแคลนอาหาร การที่เหนื่อยล้าจากการเดินทัพและการซุ่มโจมตีของรัสเซีย ฝรั่งเศสจึงพ่ายแพ้ยับเยิน ทำให้นโปเลียนต้องสละราชสมบัติเพราะได้รับการต่อต้านจากชาวฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1814 และสัมพันธมิตรเข้าบุกยึดกรุงปารีส ทำสนธิสัญญาฟองแตงโบล (Treaty of Fontainebleau) ทำให้จักรวรรดิฝรั่งเศสที่หนึ่งสิ้นสุดลง ต่อมาจักรพรรดินโปเลียนทรงหวนคืนสู่ราชบัลลังก์และปกครองอยู่นานหนึ่งร้อยวัน แต่ในท้ายที่สุดก็ต้องสละราชสมบัติอีกครั้งจากการที่พ่ายแพ้ในยุทธภูมิวอร์เตอร์ลู (Battle of Waterloo) และทรงถูกเนรเทศออกนอกฝรั่งเศสไปยังเกาะเอลบาในอิตาลี ต่อมาจึงมีการฟื้นฟูราชวงศ์บูร์บงและเข้าสู่ยุคราชวงศ์บูร์บงฟื้นฟู
{{cite book}}
: |first=
มีชื่อเรียกทั่วไป (help)
Owlapps.net - since 2012 - Les chouettes applications du hibou